วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ทับทิม


สรรพคุณทางสมุนไพรไทย      
          ส่วนที่ใช้เป็นยาคือเปลือกของผลที่โตเต็มที่ มีรสฝาด
           ใช้เปลือกผลแห้ง 1 ส่วน 5 หรือ 1 ส่วน 4 ของผล ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นๆ
           รับประทานครั้งละ 10-20 มิลลิลิตร วันละ 1-2 ครั้ง หรือใช้เปลือก ของผลต้มกับน้ำปูนใสดื่มแต่น้ำ การรับประทานเช่นเดียวกับที่ใช้ฝนกับน้ำปูนใสใช้บรรเทาอาการท้องเสีย การที่เปลือกของผลทับทิมช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้เพราะว่ามีสารแทนนิน ซึ่งเป็นสารฝาดาสมาน
           นอกจากนี้ยังใช้รักษาน้ำกัดเท้า โดยใช้เปลือกผลทับทิมฝนกับน้ำสะอาดให้ข้นๆ ใช้ทาบริเวณที่น้ำกัดเท้า วันละ 4-5 ครั้งจนกว่าจะหาย

ประโยชน์

ผลทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวานทับทิมเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำทับทิมมีวิตามินซีสูงและยังมีสารเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณที่สูงเหมาะสำหรับการดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย
น้ำทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดและมีประสิทธิภาพสูงมากสามารถลดภาวะการแข็งตัวของเลือดจากไขมันในเลือดสูง บรรเทาโรคโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ช่วยเพิ่มพลังและความงาม ดื่มน้ำทับทิมคั้นวันละแก้วจะช่วยส่งเสริมการทำงานของหลอดเลือด ลดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงและช่วยเสริมสุขภาพของหัวใจให้ดีขึ้น  เปลือกทับทิมรักษาโรคท้องเดินและโรคบิด

เปลือกทับทิม
จากการศึกษาวิจัยพบว่าในเปลือกทับทิมมีสารในกลุ่มแทนนินสูง 22-25% โดยประกอบด้วยสารแทนนินในกลุ่ม มี Gallotannin เปลือกทับทิมตากแห้งใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิดได้ นอกจากนี้ยังพบสารแทนนินในกลุ่ม Ellagictannin ในปริมาณสูงสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่ดี โดยมีสรรพคุณลดอาการอักเสบ ทั้งยังมีฤทธิ์ต่อต้านมะเร็งกว่า 13 ชนิด ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่ามีคุณสมบัติในการทำลายเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร และลำไส้ใหญ่ ซึ่งพบว่าการให้กรดเอลลาจิกกับสัตว์ทดลอง สารดังกล่าวจะไปเร่งการเจริญของเซลล์มะเร็งแบบอะมอพโดซีส (Amoptosis) ทำให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายโดยกลไกการแตกตัวของตัวมันเองได้

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

พริกไทย

ชื่อสามัญ / ชื่ออังกฤษ          Pepper
ชื่อวิทยาศาสตร์                     Piper nigrum Linn.
วงศ์                                         Piperraceae
ชื่ออื่น / ชื่อท้องถิ่น               พริกน้อย (เหนือ) พริก (ใต้) พริกขี้นก พริกไทยดำ พริกไทยล่อน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พริกไทยเป็นไม้เถาเลื้อยยืนต้น ลำต้นมีข้อ ซึ่งบริเวณข้อใหญ่กว่าลำต้นจนเห็นได้ชัดเจน
ลำต้นอ่อนมีสีเขียวและจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลตามอายุที่เพิ่มขึ้น รากของพริกไทยมีสองชนิด คือรากหาอาหารที่อยู่ใต้ดิน
กับรากที่ทำหน้าที่ยึดลำต้นกับหลักซึ่งอาจจะเป็นไม้ยืนต้นอื่นหรือไม้ค้างเพื่อให้เลื้อยเติบโตต่อไปได้
ใบของพริกไทยเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับตามข้อและตามกิ่ง ใบเป็นรูปไข่ โคนใบใหญ่ ใบกว้างประมาณ 6-10 ซ.ม. ยาว 7-14 ซ.ม.
ลักษณะคล้ายใบพลู ผิวใบเรียบเป็นมัน ขนาดและลักษณะของใบจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ ออกดอกเป็นช่อในแนวยาวตรงข้ามกับใบ
ช่อดอกแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยประมาณ 70-85 ดอก ช่อดอกอ่อนมีสีเหลืองอมเขียว เมื่อแก่จะมีสีเขียวและปลายช่อห้อยลง
ผลของพริกไทยมีลักษณะกลม เรียงตัวกันเป็นพวงอัดแน่นอยู่กับแกนช่อ มีรสเผ็ดร้อน ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกจะมีสีส้มแดง
ผลที่นำมาใช้มีสองชนิด คือ พริกไทยดำ และพริกไทยล่อน พริกไทยดำทำได้โดยเก็บผลที่โตเต็มที่มีสีเขียวแก่มาตากจนแห้ง
ซึ่งจะได้พริกไทยสีดำเหี่ยว ส่วนพริกไทยล่อนคือการเก็บผลพริกไทยที่เริ่มสุกมาแช่น้ำแล้วนำมานวดเพื่อลอกเปลือกออก แล้วตากแดด
จะได้ผลพริกไทยมีสีขาวเป็นเงา
พันธุ์พริกไทยที่นิยมปลูกในประเทศไทยมี 6 พันธุ์ คือ พันธุ์ใบหนา พันธุ์ความยขวิด พันธุ์บ้านแก้ว พันธุ์ปรางถี่ธรรมดา พันธุ์ปรางถี่ใบหยิก พันธุ์คุชชิง
สรรพคุณ
เปลือกของพริกไทยมีน้ำย่อยสำหรับย่อยไขมัน ด้วยเหตุนี้ตำราโบราณจึงเชื่อกันว่าพริกไทยสามารถลดความอ้วนได้
พริกไทยช่วยกระตุ้นปุ่มรับรสที่ลิ้น เพื่อให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยได้มากขึ้น
พริกไทยดำมีรสเผ็ดอุ่น เมื่อรับประทานเข้าไปจะรู้สึกอุ่นวาบที่ท้อง ช่วยขับลม ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ   แก้ไข้มาลาเรีย แก้อหิวาตกโรค
ใช้ก้านพริกไทย 10 ก้าน บดให้ละเอียดแล้วต้มกับน้ำ 8 แก้ว ใช้เป็นยาล้างแผลที่อัณฑะ
สารพิเพอรีนในพริกไทยสามารถใช้เป็นยาฆ่าแมลง ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อมนุษยโดยนำผลพริกไทยมาทุบให้แตกแล้วใช้โรยบริเวณตู้เสื้อผ้าหรือบริเวณที่ต้องการ

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ฝรั่ง


ฝรั่ง
       เป็นไม้ขนาดกลางที่เจริญเติบโตได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย และให้ผลิตตลอดทั้งปี ฝรั่งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ และฟรุตสลัด
          ประโยชน์ต่อสุขภาพ ทราบหรือไม่ว่าฝรั่ง  1 ขีด  มีวิตามินซีสูงถึง  180 มิลลิกรัม   วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน  ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัย และวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสติเสื่อมสภาพ ผิวหนังเหี่ยวแห้ง เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างและบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์นับล้านตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื่อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนี มันคือ คอลลาเจนตัวเดียวกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึงนั่นเอง



กำจัดสิวผดให้หมดไปจากใบหน้า



สิวผดเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สาว ๆ หลายคนต้องเผชิญ เพราะขึ้นชื่อว่าสิวแล้วนั้นไม่มีใครคนไหน ที่อยากจะให้อยู่บนใบหน้าอย่างแน่นอน มาดูถึงสาเหตุและวิธีป้องกันการเกิดสิวผดบนใบหน้ากันดีกว่าสาว ๆ จะได้เตรียมตัวตั้งรับและกำจัดให้ไกลจากใบหน้าได้อย่างถูกวิธี



สาเหตุของการเกิดสิวผดบนใบหน้านั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งความสกปรกของผม หมอน หรืออากาศก็สำคัญ อย่างอากาศบ้านเราที่ช่างร้อนอบอ้าว ทำให้มีเหงื่อ และเหงื่อก็เป็นตัวการที่ทำให้เกิดสิวไม่ว่าจะเป็นสิวอะไรก็ตามแต่ เพราะความสกปรกนั้นมากับคราบเหงื่อและน้ำมันบนใบหน้าที่มากับเหงื่อ ทำให้เกิดการอุดตันและเกิดสิวได้

          เกิดสิวผดได้ หรือเกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง และสิ่งสุดท้ายคือเกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า P.OVALE สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดได้ทั้งนั้น

          ส่วนวิธีป้องกันและรักษาสิวผด ก็ง่าย ๆ คือหลีกเลี่ยงแสงแดดหรือทาครีมกันแดด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่แรงมากเกินไป และไม่ถูหรือนวดหน้าแรงและบ่อยเกินไป รวมถึงการล้างหน้าด้วยในหนึ่งวันก็ไม่ควรจะล้างหน้าบ่อยเกินไป หรือหากพบว่ามีสิวผดขึ้นเป็นจำนวนมากผิดปกติ ควรที่จะพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการรักษาค่ะ..

5 อันดับ เทคนิคการจีบอย่างได้ผล



อันดับที่ 5
เปลี่ยนทัศนคติตัวเองเสียก่อนว่า การจีบ ก็แค่เรื่องปกติ ทำม๊ะดา ธรรมดา
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ที่เป็นเทคนิคในการจีบ ก็คือ ‘ความมั่นใจ’ สังเกตกันไหมว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หากต้องการที่จะได้ผลลัพธ์ออกมาดี ก็ล้วนต้องอาศัยความมั่นใจ (ในเชิงสร้างสรรค์) ทั้งนั้น เช่นการพรีเซนท์โครงการ อาจารย์ที่สอนหนังสือลูกศิษย์ นักศึกษาที่เข้าสอบแข่งขันชิงทุน ฯลฯ การเปลี่ยนทัศนคติให้มีความมั่นใจ ก็เหมือนเป็นการสร้างกำลังใจให้กับตนเอง... โอเค บางคนอาจจะบอกว่า เสี่ยงไปหน่อย เกิดไปจีบเค้า แล้วเค้าไม่ชอบเราขึ้นมา เสียฟอร์มกันหมด.... ช้าก่อน! อย่าเพิ่งลืมไปว่า สิ่งที่เสียไปนั้นคือ ฟอร์ม แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ ฟอร์มที่ลดลง พร้อมกับทักษะการจีบที่ได้เพิ่มขึ้นด้วยนะ… จะบอกให้

อันดับที่ 4
รู้จักที่จะเริ่มเปิดบทสนทนากับเป้าหมาย
“สวัสดีครับ นี่เราเคยรู้จักกันมาก่อนมั้ยครับ” ไม่ดีๆ อันนี้เหมือนพระเอกหนังช่อง 8 ลองเปลี่ยนเป็น “สวัสดีครับ วันนี้ผมมีข้อเสนอในการเพิ่มเงินออมให้กับชีวิตของคุณครับ” ไม่ใช่แล้วว อันนี้เซลล์ขายประกัน เอาเป็นว่า รู้จักเริ่มเปิดบทสนทนาอะไรก็ได้ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น เช่น คุณได้ไปเจอเพื่อนของเพื่อน แล้วรู้สึกถูกอกถูกใจเธอขึ้นมา ดังนั้น อาจเริ่มเปิดบทสนาทนาว่า “สวัสดีครับ ผมศรรามครับ ได้ยินว่าคุณทำงานด้านไอทีเหมือนกันเหรอครับ นี่นามบัตรของผมครับ รับไว้เถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” หลังจากนั้น ก็หาโอกาสในการทำความรู้จักเพิ่มเติมกันต่อไป

อันดับที่ 3
ทำตัวเองให้ สนุก สดใส ร่าเริง
เริ่มจากการเปิดใจให้กว้าง มีเหตุมีผล แต่ก็ต้องมีอารมณ์ขี้เล่นบ้างในบางครั้ง และที่สำคัญคือ ต้องทำตัวเองให้เป็นธรรมชาติ… วิธีที่จะฝึกตัวเองให้แสดงออกอย่างสบายๆ และเป็นธรรมชาติ สำหรับแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนได้จากการอ่านหนังสือธรรมมะ ช่วยเข้าใจถึงสรรพสิ่ง รู้ว่าทุกสิ่งย่อมไม่เที่ยง (ยกเว้นนาฬิกา) ส่งผลให้ความกังวลใจลดลง.. บางคนฝึกเล่นดนตรี วาดรูป ทำให้ศิลปะเข้ามาหล่อหลอมจิตใจอย่างช้าๆ แล้วชีวิตก็ลื่นไหลไป คล้ายๆ กับภาพแอ็บสแตรคต์ ไม่ยึดติดกับกฏเกณฑ์ แต่มีพลังมากนัก หรือ ใครที่คิดว่า เล่นดนตรี หรืองานศิลปะ เป็นเรื่องที่ยากไปสักนิด การฝึกร้องเพลง ก็สามารถช่วยให้จิตใจสดใสขึ้นได้เยอะทีเดียว

อันดับที่ 2
กล่าวชมเชยคนที่จีบอยู่ อย่างจริงจัง และจริงใจ
ช่วงที่กำลังจีบใครอยู่ ไม่ว่าจะรู้จักกันมา 1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 2 เดือน หรือมากกว่านั้นก็ตามแต่ การกล่าวชมเชย เป็นองค์ประกอบอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการ จีบ เพราะว่าคนๆ นั้น จะมีความรู้สึกว่า “อืม.. นี่เค้า ก็สังเกต และให้ความสนใจเราในระดับหนึ่งเหมือนกันนะ” เหมือนดังเช่น บทกวีอมตะที่ท่านสุนทรภู่ ได้ประพันธ์เอาไว้ว่า “อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย” ความหมายของสุดยอดบทกวีนี้ น่าจะหมายความว่า เวลาที่เราได้ยินคำหวาน เรามักจะจดจำ คำๆ นั้นได้ดี และเราก็สามารถนึกถึงคำๆ นั้นได้อีก เพราะคำเหล่านี้ ถูกเก็บบันทึกไว้ในสมองของเราเรียบร้อยแล้ว
ในทางตรงกันข้าม หากคุณได้รับคำชมเชย ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวโอ้อวดอะไร เพียงแค่กล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ก็พอ

อันดับที่ 1
แต่น แต่น แต๊นนนน ตึง ตึง ตึง ตึง โป๊ะ ผ่างงงงง..... อันดับ ที่ 1 ได้แก่... ได้แก่ๆๆ รอยยยยยยิ้ม ชนะใจเสมอ เหมอ ๆๆๆ
รอยยิ้มเป็นตัวแทนของการมองโลกในแง่ดี เวลาเจอคนที่ไม่ชอบยิ้ม เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง? “อ๊ะ คนนั้นดูหยิ่งจังเลย” “อืม เครียดตลอดอย่างนี้ไม่อยากคุยด้วยเลยแฮะ” “เอ... เค้าเป็นฟันคุดอยู่หรือเปล่านะ ถึงไม่ยิ้มเลย”   จริงอยู่ ใครกันที่จะยิ้มได้ตลอดทั้งเวลา เวลาที่งานเข้าเยอะๆ หรือกำลังยุ่งๆ อยู่ ก็อาจจะมีความเครียดบ้าง จะให้เอาแต่ยิ้มก็คงไม่ได้ แต่นอกเหนือจากเวลาเหล่านั้น คุณควรฝึกยิ้มให้กับคนรอบข้างเข้าไว้ รอยยิ้มจะค่อยๆ นำมิตรเข้ามาสู่ตัวคุณ รอยยิ้มจะเป็นตัวแทน การแสดงความเป็นมิตรของคุณสู่คนอื่น และแน่นอน ‘รอยยิ้ม’ ก็จะช่วยให้การจีบของคุณได้ผล แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็อย่าเพิ่งเสียใจไป ยังมีคนอื่น รอรอยยิ้มของคุณอยู่อีกมากมาย ขอเอาใจช่วย สู้ๆ

ผิวสวยจากภายใน ไม่ใช่เรื่องยาก

ผิวสวยจากภายใน

ผิวสวยจากภายใน

       ผิวพรรณจะดูสวยมีสุขภาพดีจากภายในได้นั้น คุณควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และวันนี้เรามีอาหารที่มีประโยชน์ต่อ ผิวพรรณ โดยตรงมาแนะนำกันด้วย ดังนี้

          1. ปลา ปลาที่มีไขมันสูงอย่างเช่นแซลมอน ให้กรดไขมันโอเมก้า -3 ที่ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง

          2. อัลมอนด์ ไม่เพียงแต่มีกรดไขมันโอเมก้า -3 แต่ยังมีโปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ผิว และวิตามินอีที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ

          3. ผักหลากสี เช่น ฟักทองสีเหลืองสด แครอทสีส้ม ผักโขมสีเขียว พริกหวาน ผักเหล่านี้อุดมด้วยแคโรทีนที่ดีต่อผิว

          4. น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ให้ไขมันจำเป็นแก่ผิวที่ทำให้เซลล์มีความยืดหยุ่น และช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอและอีได้ดีขึ้น

          5. อาหารนมไขมันต่ำ โยเกิร์ต ชีส นม อุดมด้วยวิตามินเอที่จำเป็นต่อสุขภาพผิว แบคทีเรียในโยเกิร์ตไม่เพียงแต่ดีต่อลำไส้ แต่ยังดีต่อผิวด้วย การย่อยที่ดีทำให้ผิวดูสดใสและแข็งแรง

          6. ผักกาดหอม ให้เส้นใยอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเพียงเล็กน้อย วิตามินที่สำคัญที่สุด คือ วิตามินเอและโพแทสเซียม

          7. โฮลเกรน มีแร่ธาตุและแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ซีลีเนียม ที่ช่วยควบคุมความเสียหายของเซลล์ และงดพวกแป้งขาวที่จะให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่อาการอักเสบและระคายเคืองของผิว

          8. อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่น เนื้อแดง อาหารทะเล ที่ใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการโลหิตจาง และทำให้ผิวดูซีดเซียวไม่สดใส และทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา

          9. ไข่ มีโปรตีนที่ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายจากอนุมูลอิสระ และยังมีไบโอตินที่ช่วยปกป้องผิวแห้งด้วย

          10. ส้ม มีวิตามินซีสูงที่ช่วยปกป้องผิวจากสภาวะแวดล้อม เช่น รังสียูวี วิตามินซีช่วยผิวสร้างคอลลาเจนที่จำเป็นในการทำให้มันปราศจากริ้วรอย

          สูตร ผิวสวยจากภายใน ของเราทำง่ายกว่าที่คิดใช่ไหมล่า... เพียงปรับเปลี่ยนนิสัยส่วนตัวนิด ๆ หน่อย ๆ คุณสาว ๆ ก็สวยเด้งได้โดยไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริมใด ๆ ให้เปลืองเงินเปลืองทอง อย่าลืมว่า... สวยอะไรก็ไม่เท่าสวยอย่างธรรมชาติแน่นอน...

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กระเทียม

กระเทียม : รักษารากผมและช่วยให้ผมหงอกช้า

วิธีทำ ใช้เนื้อกระเทียมสด ซอยบางๆ ประมาณ 5 ช้อนแกง น้ำมันมะกอก ประมาณ 5-10 ช้อนแกง ปั่นรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ภาชนะสะอาดปิดฝาให้แน่น ทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน และนำมาใส่ให้ทั่วหนังศรีษะ นวดเบาๆ (ไม่ต้องเกา) ใช้ผ้าขนหนูผืนบางๆ นึ่งให้อุ่นจัดโพกไว้ ประมาณ 30-60 นาที (ระหว่างนี้คอยเปลี่ยนผ้าขนหนูให้อุ่นอยู่เสมอ) จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด และสระผมด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง ประมาณ 2-4 สัปดาห์ สุขภาพผมจะดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ส้มโอ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของส้มโอ


ใบ : เป็นยาแก้ปวดข้อ ท้องอืดแน่น แก้ปวดหัว (ตำพอกที่ศีรษะ)
ดอก : แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ปวดกระบังลม ขับเสมหะ ขับลม
ผล : แก้เมาสุรา ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหารเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์เบื่ออาหาร ปากไม่รู้รสอาหาร
เปลือกผล : เป็นยาขับลม ช่วยขับเสมหะ แก้อึดอัด แน่นหน้าอก ไอ จุกแน่น ปวดท้องน้อย ไส้เลื่อน หรือต้มน้ำอาบแก้คัน ใช้ตำพอกฝี
เมล็ด : แก้ไส้เลื่อน แก้ปวดท้อง ลำไส้เล็กหดตัวผิดปกติ
ราก : แก้หวัด แก้ไอ แก้ปวด ปวดท้องน้อยและกระเพาะอาหาร ไส้เลื่อน


Tips


1. ปวดบวม ใช้ใบสดตำแล้วเอาไปย่างไฟให้อุ่น นำไปพอกตรงบริเวณที่เป็น
2. ไอมีเสมหะ ใช้ผลสดเอาเมล็ดออกเสีย แล้วแกะเป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่กับน้ำเหล้าไว้ 1 คืน เสร็จแล้วนำไปต้มให้เละผสมกบน้ำผึ้ง กวนให้เข้ากันแล้วจิบกินบ่อย ๆ
3. อาหารไม่ย่อย ท้องอืดแน่น ใช้เปลือกผลแห้งและลูกเร่วแห้งอย่างละ 10 กรัมกับกระเพาะอาหารไก่ 1 ใบ ผักคาวทองสด 15 กรัม และผงยีสต์แห้ง 1 ช้อนชาต้มกับน้ำกิ

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)


 กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

           แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลักซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

           พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

           เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

           นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิกกรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

 แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

          เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

กล้วยหอม: ลดรอยเหี่ยวย่น ถนอมผิวหน้าให้ชุ่มชื่น

คุณรู้ไหมว่ากล้วยหอมที่ดูแสนจะธรรมดา ที่แท้แล้วมีความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกล้วยหอมให้ดีขึ้นอีกนิดกันเถอะ กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซุคโคส ฟรุคโตส และกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) แถมยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร เมื่อทานกล้วยหอมแล้ว มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยค่ะ จะยกตัวอย่างให้เห็นถึงพลังจากกล้วยหอม 2 ใบ พลังงานที่ได้จะมากพอที่จะให้เราทำงานถึง 90 นาทีแน่ะ แต่ประโยชน์ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือ ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และอาการผิดปกติของร่างกายต่างๆ
 

น้ำตะไคร้-แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด

ส่วนผสม – ตะไคร้ 20 กรัม(1ต้น ) – น้ำเชื่อม 15 กรัม( 1 ช้อนคาว ) – น้ำเปล่า 240 กรัม( 16 ช้อนคาว ) วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อนสั้น ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำ ให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียวสักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ หรืออาจเอาเหง้าแก่ ที่อยู่ใต้ดิน ล้างให้สะอาดฝานเป็นแว่นบางๆคั่วไฟอ่อนๆพอเหลือง ชงเป็นชา ดื่มวันละ 3 ครั้งๆละ 1 ถ้วยชา จะช่วยขับปัสสาวะให้สะดวก ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับอาหาร คุณค่าทางยา : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย

น้ำแครอท

ส่วนผสม น้ำเชื่อมเข้มข้น 8 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1 ช้อนชา แครอทหั่นเล็กๆ 3 ช้อนโต๊ะ น้ำสุก 2 แก้ว วิธีทํา 1.ล้างแครอทให้สะอาด 2.หั่นเป็นชิ้นเล็กๆเติมนําปั่นให้ละเอียด 3.ผสมนําเชือม นํามะนาว เกลือเติมตามส่วนผสมให้เข้ากัน 4.ใส่นําแข็งบดก่อนเสริฟ คุณค่าทางโภชนาการ สําหรับ1ที่ พลังงาน 106.66กิโลแครอรี่ วิตามินเอ 349.66ไมโครกรัม

ว่านหางจระเข้: บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด

น้ำกะเพรา : บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ

บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ และช่วยให้ลำไส้ทำงานได้สะดวกวิธีทำ ใช้ใบกะเพราตากแห้งสนิท ประมาณ 1/2 ถ้วย น้ำมะนาวสด น้ำตาลทรายแดง เกลือป่น และน้ำสะอาด 2-4 ถ้วย ต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบกะเพราตากแห้ง เคี่ยวไปประมาณ 10 นาที เติมน้ำตาลทรายแดง พอน้ำตาลละลายยกลง ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ (ควรใส่ภาชนะเคลือบที่ใช้อุ่นไฟได้เพื่อเอาไว้อุ่นดื่มร้อนๆ) เวลาดื่มเติมรสชาติด้วยน้ำมะนาวสด และเกลือตามชอบ

แตงกวา

รักษาหน้า ด้วย แตงกวา

แตงกวาเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์และรู้จักกันดี ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับพืชกระกูลเดียวกับแตงโม บวบ มะระ นิยมปลูกกันและปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย อาจจะปลูกบนดินหรือใช้ไม้ไผ่ทำเป็นค้าง ดอกจะมีสีเหลือง ผลอ่อนจะมีขนเล็กน้อย และแตงกวาก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท

แตงกวาเป็นพืชหนึ่งที่สามารถทำรายได้ดีทีเดียว สำหรับในแง่ของผู้บริโภคแล้ว แตงกวาสามารถนำไปปรุงอาหารได้มากมายหลายชนิด เช่น การนำไปแกงจืด ผัด จิ้มน้ำพริก แปรรูปเป็นแตงกวาดอง หรือแม้แต่นำไปทำเป็นยาสมุนไพรในรูปของครีมพอกหน้าที่คุณสาว ๆ รู้จักกันดี หรืออาจจะนำผลแตงกวามาทำเองก็ได้นะคะ

ส่วนผสม
แตงกวา 2 - 3 ผล
นมสด 1/2 ถ้วย

วิธีผสม
นำแตงกวามาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับนมสดจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียว ใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกว่าผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้งภายในเวลาไม่ถึงเดือน จะสังเกตเห็นว่า ผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้

มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นอีกค่ะ แค่คุณหั่นแตงกวาเป็นชิ้น แล้วนำไปแช่ตู้เย็นจนเย็น แล้วนำมาวางบนหน้าของคุณ แค่นี้ก็ทำให้หน้าคุณตึงสวยได้แล้ว เคล็ดลับง่าย ๆ แบบนี้กับแตงกวาที่หาง่ายตามท้องตลาด ลองทำไปทำดูกันนะคะ